แนวข้อสอบ
หลักการเบื้องต้นในการออกแบบระบบไฟฟ้า
1. การออกแบบระบบไฟฟ้า หมายถึง
ตอบ - การพัฒนาแบบแปลน
- หรือวิธีการจ่ายกำลังไฟฟ้า จากจุดจ่ายไฟฟ้า ไปยังอุปกรณ์ใช้กำลังไฟฟ้าต่างๆ
- หรือจ่ายสัญญาณไฟฟ้า ไป จุดรับสัญญาณไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์การใช้งาน
2. การออกแบบระบบไฟฟ้า เป็นงานที่มีลักษณะอย่างไร
ตอบ • เป็นงานที่กว้างขวาง
• ต้องการข้อมูลมากมาย
3. ผู้ออกแบบระบบไฟฟ้า ควรมีคุณสมบัติอย่างไร
ตอบ • ต้องเป็นผู้ใฝ่รู้
• สนใจในวิชาการต่างๆ
4. งานของผู้ออกแบบระบบไฟฟ้า มีกี่กลุ่ม อะไรบ้าง
ตอบ มี 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1) ระบบไฟฟ้ากำลัง 2) ระบบไฟฟ้าสื่อสาร
5. ระบบไฟฟ้ากำลัง ได้แก่
ตอบ 1.ระบบการจ่ายกำลังไฟฟ้า ( Power Distribution System )
2.ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ( Lighting System )
3.ระบบไฟฟ้าสำรอง ( Standby Power System )
4.ระบบป้องกันฟ้าผ่า ( Lightning Protection System )
5.ระบบการขนส่งแนวดิ่ง ( Vertical Transportation System )
6. ระบบไฟฟ้าสื่อสาร ได้แก่
ตอบ 1. ระบบโทรศัพท์ ( Telephone System )
2. ระบบสัญญาณเตือนอัคคีภัย ( Fire Alarm System )
3. ระบบเสาอากาศโทรทัศน์รวม ( Master Antenna TV System )
4. ระบบรักษาความปลอดภัย ( Security System )
5. ระบบโทรทัศน์วงจรปิด ( Closed Circuit TV System )
6. ระบบเสียง ( Sound System )
7. ระบบควบคุมอาคารอัตโนมัติ ( Building Automation System )
7. ผู้ออกแบบระบบไฟฟ้า มีหน้าที่อย่างไร
ตอบ 1. พัฒนาแบบระบบไฟฟ้าเพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้าได้เพียงพอและ มีความปลอดภัยในการใช้งาน
2. ออกแบบระบบไฟฟ้าให้เป็นไปตามข้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ
3. ทำการออกแบบ ตามความต้องการของเจ้าของ
4. ติดต่อประสานงาน และให้ความร่วมมือกับผู้ออกแบบงาน
ระบบอื่นๆ เพื่อให้อาคารสามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์
5. เขียนรายละเอียดข้อกำหนดต่างๆ ของระบบไฟฟ้า
6. ทำการประมาณราคา
8. แบบระบบไฟฟ้าที่ดี ต้องเป็นอย่างไร
ตอบ 1) ความปลอดภัย ( Safety ) ระบบไฟฟ้ากำลังที่ออกแบบต้องมีความปลอดภัยอย่างสูงต่อ
- ผู้ปฏิบัติงาน
- อุปกรณ์ไฟฟ้า
- สถานที่
2) ค่าลงทุนเริ่มแรกที่ต่ำที่สุด ( Minimum Initial Investment )
• งบประมาณเป็นตัวกำหนดที่สำคัญ
• ต้องพิจารณาถึง
- อุปกรณ์ไฟฟ้า
- การติดตั้ง
- พื้นที่ว่างที่ต้องใช้
- ค่าเริ่มต้นของการใช้จ่าย
3) ระบบไฟฟ้าต้องสามารถจ่ายไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ( Maximum Service Continuity ) การจ่าย
ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องและมีความความเชื่อถือได้สูงขึ้นโดย
- จัดให้มีแหล่งจ่ายไฟฟ้ากำลังจากหลายแหล่ง
- จัดให้มีเส้นทางการต่อไปยังโหลดไฟฟ้าได้หลายเส้นทางมากขึ้น
- จัดหาแหล่งที่มีแหล่งกำเนิดไฟฟ้าของตนเอง เช่น มีชุดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง , แบตเตอรี่สำหรับจ่ายระบบไฟฟ้า , ระบบ UPS
- เลือกอุปกรณ์ไฟฟ้าและตัวนำไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูง
- เลือกใช้วิธีการติดตั้งที่ดีที่สุด เช่น สายไฟควรอยู่ในท่อสาย ( Raceway )
4) ระบบไฟฟ้าจะต้องมีความคล่องตัวสูงและสามารถขยายโหลดได้ ( Maximum Flexibility and Expandability )
• ระบบไฟฟ้าต้องสามารถรับรองการเปลี่ยนแปลงได้
5. ประสิทธิภาพทางไฟฟ้าสูงสุด ( ค่าปฏิบัติการทางไฟฟ้าต่ำสุด ) Maximum Electrical Efficiency ( Minimum Operating Costs )
• อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ในระบบมีกำลังสูญเสียน้อย
• หม้อแปลงมีกำลังสูญเสียต่ำ
• มอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
• บัลลัสต์ กำลังสูญเสียต่ำ
6) ค่าบำรุงรักษาที่ต่ำสุด ( Minimum Maintenance Cost )
• เลือกระบบที่ต้องใช้ค่าบำรุงรักษาน้อย
7) คุณภาพกำลังไฟฟ้าสูงสุด ( Maximum Power Quality )
• ไฟฟ้าที่ใช้
- ต้องมีคุณภาพดี
- แรงดันตกมีค่าน้อย
- กระแสและแรงดัน มีฮาร์โมนิกน้อย
9. มาตรฐานและข้อกำหนดต่างๆ แบ่งเป็นกี่อย่าง อะไรบ้าง
ตอบ 2 อย่าง คือ - มาตรฐานอุปกรณ์ไฟฟ้า
- มาตรฐานการติดตั้งระบบและอุปกรณ์ไฟฟ้า
10. มาตรฐานแต่ละอย่างอาจแบ่งออกเป็นกี่อย่าง อะไรบ้าง
ตอบ 2 อย่าง คือ
- มาตรฐานประจำชาติ ( National Standards )
- มาตรฐานสากล ( International Standards )
#คลิ๊กดูแนวข้อสอบราชการที่ www.โหลดแนวข้อสอบราชการ.com
#รวมข้อสอบที่ออกบ่อยๆ รวบรวมโดยอาจารย์ของสถาบัน
#เจาะลึกครอบคุมตรงประเด็น เนื้อหาสาระสำคัญ ข่าวสารทันโลก
#จำหน่ายแนวข้อสอบมานานกว่า 10 ปี การรันตีจากผู้สอบติดมากมาย
#รวมหนังสือหรือไฟล์ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาไปนั่งติว
แนวข้อสอบมี 2 รูปแบบ
1.แบบที่ 1 รอรับได้เลย ราคาเพียง 399 บาท (รอรับ 1-2 ชม หลังโอน)
2.แบบที่ 2 หนังสือ **ฟรี MP3** ราคา 699 บาท (ส่งฟรีขนส่งเอกชน)
ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อแนวข้อสอบ
Line ID : Panisara_test หรือคลิ๊กสั่งซื้อทันที
ชำระค่าสินค้าและบริการ
-ธ.กรุงไทย เลขที่บัญชี 983-0-97701-3
-ธ.กสิกรไทย เลขที่บัญชี 549-2-17930-4
(ชื่อบัญชี ปาณิสรา พระกาย ออมทรัพย์ สาขามหาวิทยาลัยขอนแก่น)
แนวข้อสอบวิศวกรไฟฟ้า
1. คุณสมบัติในข้อใดเป็นคุณสมบัติของวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม
1) ผลรวมของแรงดันที่ตกคร่อมเท่ากับผลรวมของแรงดันที่จ่ายให้กับวงจร
2) ผลรวมของกระแสที่ตกคร่อมเท่ากับผลรวมของกระแสที่จ่ายให้กับวงจร
3) กำลังไฟฟ้าคืออัตราส่วนระหว่างกระแสกับค่าความต้านทาน
4) แรงดันแปรผันตรงกับกระแสไฟฟ้า
เฉลย ข้อ1
แนวความคิด
จากกฎกระแสไฟฟ้าของเคอร์ชอฟฟ์กล่าวไว้ว่า
ผลรวมของกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าเท่ากับผลรวมของกระแสไฟฟ้าที่ไหลออกจากกฏแรงดันไฟฟ้าของเคอร์ชอฟฟ์กล่าวไว้ว่า
ผลรวมของแรงดันที่ตกคร่อมเท่ากับผลรวมของแรงดันที่จ่ายให้กับวงจร
2. จากกฎของโอห์มข้อใดกล่าวถูกต้อง
1) กระแสไฟฟ้าแปรผันตรงกับค่าความต้านทาน
2) แรงดันแปรผันตรงกับค่าความต้านทาน
3) ความต้านทานแปรผันตรงกับกำลังไฟฟ้า
4) กระแสไฟฟ้าแปรผันตรงกับแรงดันไฟฟ้า
เฉลย ข้อ2
แนวความคิด
จากกฎของโอห์มกล่าวไว้ว่า
V = IR
I = V/R
R = I/V
V คือความต่างศักย์ มีหน่วยเป็น โวลต์
I คือกระแสในวงจร หน่วยเป็น แอมแปร์
R คือความต้านทานในวงจร หน่วยเป็น โอห์ม
กล่าวคือกฎของ โอห์ม ใช้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า ความต่างศักย์ไฟฟ้าและ ความต้านทาน ในวงจรไฟฟ้า กล่าวคือ กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัวใดๆ แปรพันตรงกับความต่างศักย์ (แรงดันไฟฟ้า หรือแรงดันตกคร่อน) และแปรผกผันกับความต้านทานระหว่างสองจุดนั่นที่กระแสไหลผ่าน
3. กฎแรงดันของเคอร์ซอฟกล่าวว่าอะไร
1) ในวงจรไฟฟ้าปิดใด ผลรวมทางพีชคณิตของแรงดันไฟฟ้ามีค่าเท่ากับศูนย์
2) ผลรวมของแรงดันตกคร่อมทั้งวงจร
3) ผลรวมของแรงดันที่จ่ายให้แก่วงจร
4) ผลรวมของกระแสไฟฟ้าเท่ากับกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านในแต่ละสาขา
เฉลย ข้อ1
แนวความคิด
จากกฎแรงดันไฟฟ้าของเคอร์ชอฟฟ์กล่าวไว้ว่า
ผลรวมของแรงดันที่ตกคร่อมเท่ากับผลรวมของแรงดันที่จ่ายให้วงจร
=
ย้ายสมการจะได้
ดังนั้นกล่าวได้ว่าในวงจรไฟฟ้าปิดใด ผลรวมทางพีชคณิตของแรงดันไฟฟ้ามีค่าเท่ากับศูนย์
4. คำกล่าวในข้อใดกล่าวได้ถูกต้องตามวิธีของกระแสเมช
1) แก้ปัญหาวงจรไฟฟ้ารวดเร็วขึ้น
2) ง่ายต่อการแก้ปัญหาวงจรไฟฟ้า
3) ลดขั้นตอนในการแก้ปัญหาวงจรไฟฟ้า
4) ถูกทุกข้อ
เฉลย ข้อ4
แนวความคำ
ทฤษฏีกระแสเมช (Mesh Current Throres)
ทฤษฏีกระแสเมช เรียกว่า “เมชเคอร์เรนท์” (Mesh current Theores) เป็นการประยุกต์กฏของเคอร์ชอฟฟ์มาใช้แก้ปัญหาให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทฤษฏีกระแสเมชจะกำหนดให้ในวงจรปิดใดๆ หนึ่งสงจรปิด จะสมมติให้มีกระแสไหลหนึ่งจำนวนและจะสมมติทิศทางของกระแสไหลไปทิศทางใดก็ได้ ดดยค่ากระแสแต่ละวงจรปิดจะเป็นอิสระต่อกัน
โดยการแก้ปัญหาโจทย์ที่เกี่ยวกับวงจรไฟฟ้าที่ค่อนข้างยุ่งยาก สลับซับซ้อน ถ้าใช้ กฎของเคอร์ชอฟฟ์แล้วยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ก็ได้ทฤษฎีกระแสเมช โดยการเขียนสมการกฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์ กับทุก Loop ที่มีการกำหนดกระแส สมมุติใน
5. คอมเพรสเซอร์ ทำหน้าที่
1) ทำให้เกิดแก๊สกลั่นตัวเป็นน้ำยาเหลว
2) ทำให้น้ำยาเหลวเดือดกลายเป็นไอ
3) อัดแก๊สความดันต่ำ ให้มีความดันสูงขึ้น
4) ลดความดันน้ำยาเหลว ให้เดือดกลายเป็นไอ
เฉลย ข้อ3
แนวความคิด
คอมเพรสเซอร์ หรือ อุปกรณ์อัดแก๊ส คือ ปั๊มที่ทำหน้าที่อัดแก๊สที่ได้จากน้ำยาที่กลายเป็นไอในอีวาปโปเรเตอร์ ให้มีความดันสูงขึ้น ซึ่งขณะเดียวกันอุณหภูมิของแก๊สจะสูงขึ้นด้วยเมื่อได้แก๊สความดันสูงแล้ว จึงจะให้ผ่านไปยังเดนเซอร์ เพื่อระบายความร้อนออกและทำให้แก๊สเหล่านี้กลั่นตัวเป็นน้ำยาเหลาอีกครั้งหนึ่ง การอัดแก๊สดังกล่าวจะอัดจนกระทั่งอุณหภูมิของแก๊สสูงกว่าอุณหภูมิของสารตัวกลางที่ใช้หล่อเย็นคอนเดนเซอร์ คอมเพรสเซอร์ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องทำงานโดยมีการสูญเสียความดันจากการรั่วของแก๊สและใช้กำลังงานในการขับคอมเพรสเซอร์น้อยที่สุด
6. มอเตอร์ 1 เฟสชนิดใดปรับความเร็วรอบโดยใช้ความต้านทาน
1) สปลิตเพสมอเตอร์ 2) ยูนิเวอร์แซลมอเตอร์
3) เซตเด็ดโพลมอเตอร์ 4) รีพัลชั่นมอเตอร์
เฉลย ข้อ
แนวความคิด
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ(Alternating Current Motor) หรือเรียกว่าเอ.ซี มอเตอร์(A.C. MOTOR)การแบ่งชนิดของมอเตอร์ไฟฟ้าสลับแบ่งออกได้ดังนี้
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับแบ่งออกเป็น 3 ชนิดได้แก่
1.มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับชนิด 1 เฟส หรือเรียกว่าซิงเกลเฟสมอเตอร์ (A.D. Sing Phase)
-สปลิทเฟส มอเตอร์(Split-Phase motor)
-คาปาซิเตอร์ (Capacitor motor)
-รีพัลชั่นมอเตอร์(Repulsion-type motor)
-ยูนิเวอร์แวซลมอเตอร์(Universal motor)
-เช็คเดดโพล มอเตอร์(Shaded-pole motor)
2. มอเตอร์ไฟฟ้าสลับชนิด 2 เฟสหรือเรียกว่าทูเฟสมอเตอร์ (A.D.Two phase Motor)
3) มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับชนิด 3 เฟสหรือเรียกว่าทีเฟสมอเตอร์ (A.D. Three phase Motor)
ตัวอย่าง วงจรควบคุมความเร็วของยูนิเวอร์แซลมอเตอร์
7. มอเตอร์ 1 เฟสกลับทางหมุนได้อย่างไร
1) สลับสายเฟส 2 เส้น
2) กลับทิศทางการไหลของกระแสที่ขดใดขดหนึ่ง
3) ใช้ Rheostart
4) ควบคุมกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่าน Stator coil
เฉลย ข้อ4
แนวความคิด
วงจรการกลับทางหมุนมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส
หลักการของวงจรกำลังการกลับทางหมุนมอเตอร์ ไฟฟ้ากระแส สลับ1 เฟส สำหรับการทำงานของวงจรกำลังนั้นเมื่อ คอมแทคเตอร์ K1 ทำงานกระแสไฟฟ้าจะไหลจาก ไลท์ L1 เข้าขดรัน จากขั้ว U ไปยังขั้ว X แล้ว ครบวงจรที่ ส่วนที่ขดสตาร์ทกระแสไหล จากขั้ว V และขั้ว Y ครบวงจรที่ N เช่นกัน จะทำให้มอเตอร์ หมุนขวา ในขณะที่คอมแทคเตอร์ K1 หยุดทำงาน ให้คอนแทคเตอร์
8. หลอดเผาไส้ขนาด 60W . 220 V ขณะใช้งานปกติไส้หลอดมีค่าความต้านทานเท่าไร
1) 350.2 โอห์ม 2) 514.6 โอห์ม
3) 672.5 โอห์ม 4) 806.7 โอห์ม
เฉลย ข้อ4
วิธีทำ จากสมการ การหากำลังงาน
P = IV
จากกฎของโอห์ม
V = IR
หรือ
I =
นำไปแทนในสมการ การกำลังงาน จะได้
P =
=
ย้ายสมการหาค่าความต้านทานจะได้
R =
แทนค่าจะได้
R =
=
= 806.666667 Ω
ดังนั้นค่าความต้านทานเท่ากับ 806.7 โอห์ม
9. ขดลวกมอเตอร์ 3 เฟสจะวางห่างกันกี่องศา
1) 90 องศา 2) 100 องศา
3) 120 องศา 4) 150 องศา
เฉลย ข้อ3
แนวความคิด
จากสมการ ซึ่งผลรวมของแรงดันชั่วขณะใด ๆ คือ 0
จะเห็นว่าระยะของมุม ของแต่ละขดลวด อยู่หางกัน
10. เพราะเหตุใดจึงเรียกมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับว่า อินดักชั่นมอเตอร์
1) พลังงานเอ้าพุทเกิดจากการเหนี่ยวนำ 2) พลังงานอินพุทเกิดจากการเหนี่ยวนำ
3) โรเตอร์เป็นแบบกรงกระรอก 4) โรเตอร์เป็นแบบวาวด์โรเตอร์
เฉลย ข้อ1
แนวความคิด
อินดักชัน (induction) หมายถึง การเหนี่ยวนำโดยป้อนไฟฟ้ากระแสสลับแล้วทำให้เกิดกำลังงานกล บางครั้งเราเรียกมอเตอร์อินดักชันว่า มอเตอร์เหนี่ยวนำ สาเหตุที่เรียกเช่นนี้เพราะการหมุนของมอเตอร์ดังกล่าวเกิดจากการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กหมุนของลวดที่สเตอร์ที่มีผลต่อน้ำในโรเตอร์
แนวข้อสอบวิศวกรไฟฟ้า
1. กำหนดให้ รีเลย์ A และ B มีการทำงานแบบ Standard Inverse Time Relay โดยเวลาที่ใช้ในการตัดวงจรเป็นดังสมการ t = โดยที่
เป็นค่ากระแสผิดพร่องที่รีเลย์วัดได้
เป็นค่ากระแสปรับตั้ง
t เป็นเวลาที่ใช้ในการตัดวงจร
จงคำนวณหาค่า TMS ของรีเลย์ A ในรูป กรณีที่ต้องการใช้เป็นการป้องกันสำรอง (Backup Protection) ให้กับ รีเลย์ B โดยมีช่วงเผื่อ (Margin) ของการทำงานมีค่าเท่ากับ 0.4 วินาที
1) 0.05 2) 0.10
3) 0.15 4) 0.20
เฉลย ข้อ3
วิธีทำ
การปรับตั้งรีเลย์ A
กระแสปรับตั้งด้าน Secondary(Is) = 5 A
ดังนั้นกระแสปรับตั้งทางด้าน Primary = 100 A
จะเห็นว่า IF MAX = 1400 A
ดังนั้นค่า PMS = 1400/100 = 14
จากกราฟ Standard Inverse(SI) t = ที่ TMS = 1.0
t = = 2.58 s ที่ TMS = 1.0
เนื่องจากรีเลย์ A อยู่ใกล้ Fault มากที่สุดจึงปรับตั้งเวลาทำงานให้น้อยที่สุดเพื่อให้ทำงานเร็วที่สุด จึงเลือก TMS = 0.05
ดังนั้น
Operating Time ของลีเลย์ = 2.58x 0.05 = 0.13 s
การปรับตั้งรีเลย์
กระแสปรับตั้งทางด้าน Secondary (Is) = 5 A
ดังนั้น
กระแสปรับตั้งทางด้าน Primary = 200 A
จากค่า
IF MAX = 1400 A
ดังนั้น
PMS = = 7
จากกราฟ Standard In (SI) t = = 3.60 s ที่ TMS = 1.0
เนื่องจากเวลาทำงานของรีเลย์ B ต้องเผื่อ Margin 0.4 s
ดังนั้นเวลาการทำงาน = 0.13 + 0.4 = 0.53 s
ดังนั้น TMS = = 0.147
เพราะฉะนั้นเลือกใช้ TMS = 0.15
2. กำหนดฟังก์ชันต้นทุนเชื้อเพลิงของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 2 ยูนิตดังนี้
Bath
Bath
โดยที่ P1 และ P2 มีหน่วยเป็น MW หากโรงงานไฟฟ้าดังกล่าวจ่ายโหลด 450 MW จงจัดสรรกำลังผลิตตามหลักเศรษฐศาสตร์
1) P1 = 200 MW และ P2 = 250 MW 2) P1 = 250 MW และ P2 = 200 MW
3) P1 = 300 MW และ P2 = 150 MW 4) P1 = 350 MW และ P2 = 100 MW
เฉลย ข้อ 3
วิธีทำ
จากสมการ
Bath
Bath
ทำการหาอนุพันธ์จะได้
(0.005
+2
+100) -----------------------------------(
)
λ = 2 + 0.01
(0.001
+2
+200) -----------------------------------(
)
λ = 2 + 0.02
จะได้
λ = 2 + 0.01 = 2 + 0.02
เพราะฉะนั้น
+
= 450
แก้สมการเพื่อหาค่า และ
จะได้
= 300 MW
= 150 MW
3. ถ้านำค่า Impedance ที่มีค่า j0.5 มาต่อที่ bus1 ไปยัง bus3 ซึ่งเป็น bus ใหม่ จงหา Zbus ใหม่ เมื่อกำหนด Zbus เดิม ดังนี้
1) 2)
3 )
4 )
เฉลย ข้อ 2
วิธีทำ
4. ถ้านำค่า Impedance ที่มีค่า j0.5 มาต่อที่ bus1 (บัสเก่า) ไปยัง reference bus จงหาค่าของ Zbus ใหม่ เมื่อกำหนด Zbus เดิม ดังนี้
1) 2)
3) 4)
เฉลย ข้อ3
วิธีทำ
5. ถ้านำค่า Impedance ที่มีค่า j0.5 มาต่อที่ reference bus ไปยัง bus3 ซึ่งเป็น bus ใหม่ จงหาค่าของ Zbus ใหม่ เมื่อกำหนด Zbus เดิม ดังนี้
1) 2)
3) 4)
เฉลย ข้อ 2
วิธีทำ
6. ถ้านำค่า Impedance ที่มีค่า j0.5 มาต่อระหว่าง bus1 กับ bus2 จงหาค่าของ Zbus ใหม่ เมื่อกำหนด Zbus เดิมดังนี้
1) 2)
3) 4)
เฉลย ข้อ3
วิธีทำ
7. สายส่งสัญญาณ 300 km รับภาระเต็มพิกัดที่ปลายทางซึ่งมีระดับแรงดัน 215 kV ถ้าปรากฏว่า การควบคุมแรงดันของสายส่งมีค่า 24.7 % และค่าคงตัววางนัยทั่วไป ohm และ
mho จงคำนวณหาแรงดันด้านต้านทาง
1) 217.31 kV 2) 218.31 kV
3) 219.31 kV 4) 220.31 kV
เฉลย ข้อ 3
วิธีทำ
กำหนดให้
Vs = AVr+BIr Noload Ir=0
Vs = AVr
Vr = Vs/A V.R.
= (Vno-Vfull)/Vfull
0.247*Vfull = Vs/A-Vfull
(1.247*215)*0.818 = Vs
ดังนั้น Vs = 219.31 kV
8. ระบบกำลังไฟฟ้า 2 บัสมี Y-บัส กำหนดด้วย Y11 = -j 12.0 Y12 = j3.0 Y21 = j3.0 และ Y22 = -j9.0 จงกำหนดสมาชิกในตำแหน่ง Z12 ของ Z-บัส
1) j 0.0101 2) j 0.0202
3) j 0.0303 4) j 0.0404
เฉลย ข้อ3
วิธีทำ
-j3 / (-99)
9. สายส่งในระบบ 3 เฟส 69 kV มีความยาว 20 km มีค่าอิมพีแดนซ์อนุกรมเท่ากับ 4+j 10 โอห์ม หากด้านรับมีโหลด 50 MVA ตัวประกอบกำลัง 0.8 ล้าหลัง และแรงดันด้านรับมีค่า 65 kV จงคำนวณหาแรงดันด้านหลัง
1) 68.2 2) 70.2
3) 72.2 4) 74.2
เฉลย ข้อ3
วิธีทำ
10. จากข้อมูลที่กำหนดให้จงคำนวณหาค่ากระแสไฟฟ้าหลังเกิดฟอลต์ระหว่างบัส 1 และ 3 เมื่อเกิดฟอลต์แบบสมมาตรที่บัส 4 เมื่อแรงดันไฟฟ้าก่อนการเกิดฟอลต์เท่ากับ 1 pu มุม 0 องศา และอิมพีแดนซ์ระหว่างบัส 1 และ 3 เท่ากับ j0.25 pu
1) j0.2044 2) j0.4044
3) –j0.2044 4) –j0.4044
เฉลย ข้อ3
วิธีทำ
กำหนดให้
I13 = (V1-V3)/z13
= (0.3755-0.3244)/j0.25
= -j0.2044
เมื่อ
V1 = 1-(j0.978/j0.1566)
= 0.3755
V3 = 1-(j0.1058/j0.1566)
= 0.3244